มะม่วงหิมพานต์
มะม่วงหิมพานต์ ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยครั้งแรกประมาณปี พ.ศ. 2444 ที่ถูกนำเข้ามาพร้อมกับยางพาราจากประเทศมาเลเชีย โดยพระยารัษฎานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (ดอซิมบี้ ณ ระยอง) ซึ่งดำรงตำแหน่งเทศาภิบาลจังหวัดตรัง พร้อมกับทดลองปลูกครั้งแรกที่จังหวัดตรัง ซึ่งต่อมาจึงเริ่มนิยมปลูกมากขึ้นในภาคใต้
ต่อมา นายเธท ซิน จากหน่วยงาน FAO ได้นำเมล็ดมะม่วงหิมพานต์จากโมโรเนีย ประเทศไลบีเรีย เข้ามาให้กองค้นคว้า และทดลอง กรมกสิกรรม (กรมวิชาการเกษตร) จำนวน 80 เมล็ด สำหรับทดลองปลูกที่สถานีไหม จังหวัดศรีษะเกษ และสถานีทดลองยางโป่งแรก จังหวัดจันทบุรี ในช่วงประมาณวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2504
ต่อมาประมาณวันที่ 14 ของเดือน และปีเดียวกัน หม่อมราชวงศ์จักรทอง ทองใหญ่ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมกสิกรรมในขณะนั้น ได้รับมอบเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ จำนวน 25 กิโลกรัม จากสถานทูตไทยในอินเดีย จึงได้ทดลองปลูกที่สถานีทั้ง 2 แห่ง เพิ่มอีก นอกจากนั้น ยังมีการนำเมล็ดมะม่วงหิมพานต์จากประเทศบราซิลเข้ามาทดลองปลูกร่วมด้วย
มะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ยืนต้นไม่พลัดใบขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 6-12 เมตร ลำต้นแตกกิ่งแขนงหลักปานกลาง แต่มีกิ่งย่อยมาก กิ่งแขนงหลักแตกออกเป็นแนวขนานกับพื้นดินทำให้รูปทรงพุ่มเป็นรูปร่ม กว้างประมาณ 4-10 เมตร
ลำต้นมะม่วงหิมพานต์มีลักษณะทรงกลม ตั้งตรง และไม่สูงมาก เพราะลำต้นแตกกิ่งที่ความสูงไม่มาก เปลือกลำต้นค่อนข้างหนา และเรียบ มีสีเทาอมน้ำตาล
สนันสนุนบทความโดย lucabetasia
เว๊บ บา คาร่าออนไลน์ ที่ดีที่สุด
ใบมะม่วงพิมหานต์ มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โคนใบสอบแคบ และค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนถึงปลายใบ โดยปลายใบค่อนข้างมนหรือเป็นป้าน ขนาดใบยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ขนาดกว้างสูงสุดที่ปลายใบประมาณ 5-8 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ และเกลี้ยงเป็นมัน แผ่นใบมีสีเขียวสด มีเส้นกลางใบสีเขียวอ่อนขนาดใหญ่ พร้อมแตกเส้นแขนงใบออกในแนวตรงจากกลางใบ
มะม่วงหิมพานต์ ออกเป็นช่อตรงซอกใบบริเวณปลายกิ่ง แต่ละช่อจะมีก้านช่อย่อย 5-10 ก้าน เรียงสลับกันบนก้านช่อหลัก ก้านดอกอ่อนมีสีชมพู แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาว และสีเขียวเมื่อแก่ขึ้น แต่ละก้านช่อจะมีดอก 10-30 ดอก ทั้งนี้ ในก้านดอกหลักจะมีดอก 3 ประเภท คือ ดอกตัวผู้ มีประมาณร้อยละ 96 ดอกตัวเมีย และดอกสมบูรณ์เพศ ซึ่งดอก 2 ชนิดหลัง จะรวมกันแล้วประมาณร้อยละ 4 ซึ่งดอกจะสามารถผสมเกสรได้เองภายในช่อดอกเดียวกัน และจะติดผลเพียงไม่กี่ผลต่อช่อเท่านั้น
ดอกจะประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนหุ้มบริเวณโคนดอก ถัดมาเป็นกลีบดอกที่มีสีเหลืองอมขาว จำนวน 5 กลีบ เมื่อบานเต็มที่กลีบดอกจะมีสีอมแดงเรื่อบริเวณโคนกลีบ กลีบดอกมีลักษณะเรียว ปลายกลีบแหลม ถัดมากลางดอกเป็นเกสรตัวผู้ 7-10 อัน และเกสรตัวเมี และเมล็ด
มะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีลักษณะผลแปลกประลาด กล่าวคือ ส่วนที่อวบ และมีสีแดง มีลักษณะคล้ายผลชมพู่ ซึ่งเรามักเข้าใจว่าเป็นผลจริง แท้จริงแล้ว คือ ผลเทียม ซึ่งเป็นส่วนของก้านผลที่ขยายอวบนูนขึ้น ส่วนผลแท้เป็นส่วนที่มีรูปคล้ายไตห้อยอยู่ด้านล่างผลเทียม เป็นส่วนที่เป็นก้านผล แต่มีการพองขยายตัวจนมีรูปร่างคล้ายผลจริงเหมือนกับผลไม้ทั่วไป ผลเทียมจะมีรูปร่างคล้ายผลชมพู่ แต่ตรงขั้วผลจะไม่สอบแคบเหมือนผลชมพู่ ขนาดผลยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกจะมีสีแดงเรื่อหรือสีชมพูหรือสีเหลืองตามสายพันธุ์ ภายในผลประกอบด้วยเนื้อผลที่ฉ่ำด้วยน้ำ ให้รสหวานอมฝาด หากสุกน้อยจะฝาดมาก หากสุกมากจะมีรสหวานเพิ่มขึ้น แต่ยังคงรสฝาดไว้เหมือนเดิม ทั้งนี้ ที่ปลายผลจะห้อยด้วยผลแท้ที่มีรูปร่างคล้ายไต
สนันสนุนบทความโดย lucabetasia
เว๊บ บา คาร่าออนไลน์ ที่ดีที่สุด
ผลแท้ เป็นส่วนที่มีรูปร่างคล้ายไต ห้อยติดด้านล่างของผลเทียม ผลเมื่ออ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีเทาหรือสีน้ำตาล ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ประกอบด้วยเปลือกหุ้มผลที่หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ด้านในเป็นที่อยู่ของเมล็ดที่มีรูปคล้ายไตเช่นกัน แบ่งออกเป็น 2 ซีก ประกบกันอยู่ เนื้อเมล็ดนี้มีสีขาว เมื่อนำมาคั่วไฟจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้รับประทาน เนื้อเมล็ดมีความกรอบ มีกลิ่นหอม ให้รสมันอร่อย ทั้งนี้ เมื่อปอกเปลือกแล้วจะเหลือเนื้อเมล็ดประมาณ 25% ส่วนอีกประมาณ 75% จะเป็นเปลือกที่หุ้มด้านนอก
การพัฒนาของผลแท้ และผลเทียมในระยะแรก ผลแท้จะพัฒนาขยายใหญ่กว่าผลเทียม จากนั้น เมื่อโตเต็มที่จะคงตัว และค่อยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเทาอมน้ำตาล ส่วนผลเทียมจะค่อยๆพัฒนาขยายใหญ่ขึ้นทีหลัง จนมีขนาดผลใหญ่กว่าผลแท้หลายเท่า สำหรับเปลือกผลแท้ที่หุ้มเมล็ดจะน้ำยางสีน้ำตาลอ่อนจำนวนมาก สามารถบีบคั้นได้ หรือโดยเฉพาะเมื่อนำมาเผาไฟจะเห็นเป็นน้ำยางไหลเยิ้มออกมา และลุกติดไฟได้ดี และหากน้ำยางนี้ถูกผิวหนังก็จะทำให้เกิดเป็นแผลเปื่อยได้ง่าย เนื่องจากมีสภาพเป็นกรดสูง แต่น้ำยางนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในหลายด้วยกัน
สนันสนุนบทความโดย lucabetasia
เว๊บ บา คาร่าออนไลน์ ที่ดีที่สุด
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ถือเป็นอาหารขบเคี้ยวที่นิยมรับประทานมาก และนิยมมากกว่าเมล็ดธัญพืชเกือบทุกชนิด เนื่องจากมีความกรอบ ให้รสมัน และมีกลิ่นหอม เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ นิยมใช้ประกอบอาหารหลายเมนู อาทิ ใส่ส้มตำ ใส่ยำต่างๆ ใส่ไอศกรีม เป็นต้น
3. ผลเทียมที่ฉ่ำด้วยน้ำหวาน แต่อมฝาดเล็กน้อย ใช้สำหรับรับประทานเป็นผลไม้สด รวมถึงใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ น้ำผลไม้ปั่น ไวน์มะม่วงหิมพานต์ ไอศรีมมะม่วงหิมพานต์ แยม และน้ำส้มสายชู เป็นต้น ยอดอ่อนใช้รับประทานสดหรือลวกจิ้มน้ำพริก หรือใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงต่างๆ
ผลเทียมใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์หรือใช้เลี้ยงสัตว์จำพวกนก กระรอก และสุกร เป็นต้น
6. ผลเทียมมีกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยกว่า 20 ชนิด สามารถใช้สกัดเป็นหัวน้ำหอมหรือผสมทำน้ำหอมได้. เปลือกเมล็ดนำมาสกัดกรดน้ำมันที่นำไปใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ได้แก่ ใช้ทำหมึกพิมพ์
ใช้ผลิตสีทาบ้า ใช้ในกระบวนการทำผ้าเบรก ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำมันขัดโลหะ ใช้ทาไม้สำหรับป้องกันปลวก และแมลง ใช้เป็นน้ำมันในอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก ใช้เป็นส่วนผสมของกาว ใช้ในกระบวนการฟอกย้อม เปลือกลำต้นใช้ต้มย้อมผ้า ย้อมแห ย้อมอวน. เปลือกนำมาตากแห้งจะกลายเป็นสีดำ นำมาต้มสกัดเพื่อใช้ทำหมึกประทับตราผ้า รวมถึงใช้สำหรับทำน้ำประสานในงานบัดกรีโลหะ ยางที่ไหลออกจากจากเปลือกลำต้น เมื่อรวมกันเป็นก้อนจะมีสีเหลือง เรียกว่า กัม ใช้สำหรับทำน้ำมันขัดเงาโลหะหรือไม้แกะสลัก ยางจากเปลือกนำมาเคี่ยวสำหรับทำกาว ทั้งงานไม้ และงานกระดาษ โดยเฉพาะหากนำยางดังกล่าวที่เคี่ยวแล้วหรือน้ำยางสดมาผสมกับน้ำมะนาวจะยิ่งทำให้เป็นกาวเหนียวมากขึ้น เปลือกหุ้มเมล็ดที่กะเทาะออกแล้วนำมาใช้เป็นเชื้อสำหรับก่อไฟ ช่วยให้การก่อไฟติดได้ง่ายขึ้น. เนื้อไม้มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้เนื้ออ่อนถึงแข็งปานกลาง ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุของต้น ต้นอ่อนมักให้สีเหลืองอมน้ำตาล ต้นที่มีอายุมากให้สีแดงหรือน้ำตาลอมแดง สามารถใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ อาทิ โต๊ะ ที่รองนั่ง เก้าอี้ เป็นต้น ลำต้น กิ่ง และใบแห้งใช้ทำเชื้อเพลิงในครัวเรือน
หน้าที่เข้าชม | 5,035,897 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,810,955 ครั้ง |
เปิดร้าน | 14 มี.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |